อยากซักผ้าหอมเหมือนคุณแม่ ต้องทำยังไงบ้าง? - David & Mary

อยากซักผ้าหอมเหมือนแม่ ต้องทำยังไงบ้าง?

David & Mary

ผ้าที่แม่ซักรู้สึกว่ามันหอมกว่าปกติมากเลยใช่มั้ย?​ การซักผ้าให้หอมเหมือนแม่อาจดูเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าทำตามเคล็ดลับที่เราจะแนะนำในบทความนี้ จะทำให้เราสามารถซักผ้าให้หอมฟุ้งเหมือนแม่ได้ง่ายๆ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้น้ำยาซักผ้าที่เหมาะสม การใช้วิธีการซักที่ถูกต้อง หรือการดูแลเสื้อผ้าให้หอมติดทนนาน มาดูกันเลยว่าต้องทำยังไงบ้าง


เคล็ดลับการซักผ้าให้หอมเหมือนแม่

การซักผ้าให้หอมไม่ได้หมายถึงแค่การใช้น้ำยาซักผ้าที่มีกลิ่นหอมเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเลือกวิธีซักและการดูแลเสื้อผ้าอย่างถูกต้อง เพื่อให้กลิ่นหอมติดทนนานและเสื้อผ้ามีความสะอาดสะอ้าน มาดูเคล็ดลับง่ายๆ ที่สามารถทำได้เองที่บ้านกันดีกว่า


1. เลือกใช้น้ำยาซักผ้าที่เหมาะสม และมีกลิ่นหอม

การเลือกใช้น้ำยาซักผ้าที่มีกลิ่นหอมเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุดในการซักผ้าให้หอมฟุ้งเหมือนแม่ ควรเลือกน้ำยาซักผ้าที่มีกลิ่นหอมที่เราชื่นชอบและมีกลิ่นหอมติดทนนาน การเลือกน้ำยาซักผ้าที่มีคุณภาพสูงจะช่วยให้การซักผ้าได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

ควรพิจารณา pH ของน้ำยาซักผ้า

ค่า pH ของน้ำยาซักผ้ามีบทบาทสำคัญในการทำความสะอาดเสื้อผ้า น้ำยาซักผ้าที่มีค่า pH ที่เหมาะสมจะช่วยทำให้คราบสกปรกหลุดออกได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะค่า pH ที่เป็นกลางหรือเล็กน้อยจะช่วยรักษาสีและเนื้อผ้า ไม่ทำให้ผ้าซีดจางหรือเสียหาย


ควรมีส่วนผสมของเอนไซม์ในน้ำยาซักผ้า

น้ำยาซักผ้าที่มีเอนไซม์สามารถขจัดคราบและสิ่งสกปรกได้ดียิ่งขึ้น เพราะเอนไซม์จะทำหน้าที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาในการทำลายคราบโปรตีน แป้ง และไขมันที่ติดอยู่บนผ้า เอนไซม์ที่พบในน้ำยาซักผ้ามักจะมีหลากหลายชนิด เช่น โปรตีเอส (Protease) ที่ช่วยขจัดคราบโปรตีน เช่น คราบเลือดและคราบนม อะไมเลส (Amylase) ที่ช่วยขจัดคราบแป้ง เช่น คราบซอสและคราบแป้ง และไลเปส (Lipase) ที่ช่วยขจัดคราบไขมัน เช่น คราบน้ำมันและคราบอาหารนั่นเอง


2. เลือกใช้น้ำยาปรับผ้านุ่ม

น้ำยาปรับผ้านุ่มเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่สามารถช่วยให้เสื้อผ้าหอมฟุ้งและนุ่มนวล ควรเลือกใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มที่มีกลิ่นหอมและเหมาะกับเสื้อผ้าของเรา การใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มในขั้นตอนสุดท้ายของการซักผ้าจะช่วยเพิ่มความหอมและทำให้เสื้อผ้ามีสัมผัสที่นุ่มนวล และนอกจากจะช่วยเพิ่มกลิ่นหอมแล้ว น้ำยาปรับผ้านุ่มยังช่วยลดไฟฟ้าสถิตและทำให้เส้นใยผ้าไม่พันกันได้อีกด้วย


3. ใช้ปริมาณน้ำยาซักผ้า และน้ำยาปรับผ้านุ่มที่เหมาะสม

การใช้น้ำยาซักผ้าและน้ำยาปรับผ้านุ่มในปริมาณที่เหมาะสมจะช่วยให้เสื้อผ้ามีกลิ่นหอมและสะอาดมากขึ้น ดังนั้นเราควรอ่านคำแนะนำบนฉลากของน้ำยาซักผ้าและน้ำยาปรับผ้านุ่ม แล้วใช้ตามปริมาณที่แนะนำ เพราะการใช้น้ำยาซักผ้าหรือน้ำยาปรับผ้านุ่มที่มากเกินไปอาจทำให้เสื้อผ้าเหนียวและมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้นั่นเอง ในขณะที่การใช้น้ำยาซักผ้าหรือน้ำยาปรับผ้านุ่มน้อยเกินไปอาจทำให้เสื้อผ้าไม่สะอาดและไม่มีกลิ่นหอม


ซึ่งในการซักผ้าให้หอมติดทนนาน มีการแนะนำสัดส่วนของน้ำยาซักผ้า น้ำยาปรับผ้านุ่ม และน้ำในปริมาณที่เหมาะสม โดยทั่วไปแนะนำให้ใช้น้ำยาซักผ้า 1 ฝา ต่อน้ำ 10 ลิตร และควรใช้น้ำยาปรับผ้านุ่ม 2 ฝา ต่อน้ำ 10 ลิตร สำหรับการซักผ้าประมาณ 5 กิโลกรัมนั่นเอง


4. แช่ผ้าก่อนซัก

ดังนั้นหลังจากที่เลือกใช้น้ำยาซักผ้า และน้ำยาปรับผ้านุ่มแล้ว ก่อนจะทำการซักผ้าเราแนะนำให้ทำการเช่นผ้าก่อนนำไปซักด้วยน้ำที่ผสมกับน้ำยาซักผ้าหรือน้ำยาปรับผ้านุ่มเล็กน้อย เพื่อช่วยล็อกกลิ่นหอมให้ติดแน่นแถมยังเป็นการขจัดคราบสกปรกได้ดียิ่งขึ้นด้วยเช่นกัน


5. ซักผ้าในน้ำอุ่น

การซักผ้าในน้ำอุ่นจะช่วยให้น้ำยาซักผ้าและน้ำยาปรับผ้านุ่มทำงานได้ดีขึ้นและช่วยให้กลิ่นหอมติดทนนานมากขึ้น เพราะการใช้น้ำอุ่นซักผ้าจะช่วยเปิดรูขุมขนของเส้นใยผ้า ทำให้น้ำยาซักผ้าและน้ำยาปรับผ้านุ่มซึมซาบเข้าสู่เส้นใยผ้าได้ดียิ่งขึ้น และนอกจากนี้ควรสังเกตความกระด้างของน้ำด้วยเช่นกัน เพราะน้ำกระด้างจะสามารถลดประสิทธิภาพของน้ำยาซักผ้าได้ เนื่องจากแร่ธาตุในน้ำกระด้างนั้นสามารถทำปฎิกิริยากับสารทำความสะอาด แล้วทำให้เกิดคราบบนเสื้อผ้าได้ ดังนั้นหากบ้านไหนเจอปัญหาน้ำกระด้าง ควรใช้สารปรับสภาพน้ำเพื่อแก้ปัญหานี้ก่อน


6. เติมเบกกิ้งโซดา และน้ำส้มสายชูลงในน้ำซักผ้า

นอกจากใช้น้ำอุ่น และปริมาณน้ำยาซักผ้า และน้ำยาปรับผ้านุ่มตามคำแนะนำแล้วนั้น การเติมเบกกิ้งโซดาและน้ำส้มสายชูลงไปในน้ำซัก จะช่วยขจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์และเพิ่มความหอมให้กับผ้าได้อีกด้วย โดยเบกกิ้งโซดาจะช่วยปรับสมดุลค่า pH ของน้ำ และน้ำส้มสายชูจะช่วยฆ่าเชื้อโรคและแบคทีเรีย


6. ใช้แผ่นอบผ้าและลูกบอลอบผ้า

ในขั้นตอนอบผ้า (หากใช้เครื่องอบผ้า) เราก็มีทริคเล็กๆ น้อยๆ ให้ลองนำไปใช้กัน คือเราแนะนำให้ใช้แผ่นอบผ้าที่มีกลิ่นหอม หรือแนะนำให้มีการหยดน้ำมันหอมระเหยบนลูกบอลอบผ้า เพื่อช่วยเติมกลิ่นหอมให้กับผ้าในระหว่างอบ


7. ตากผ้าในที่ที่มีลมและแดด

การตากผ้าในที่ที่มีลมและแดดจะช่วยให้เสื้อผ้าแห้งเร็วขึ้นและมีกลิ่นหอมธรรมชาติ เพราะแสงแดดจะช่วยฆ่าเชื้อโรคและแบคทีเรียที่อาจทำให้เสื้อผ้าเรามีกลิ่นอับ และการตากผ้ากลางแจ้งเองก็ยังช่วยให้เสื้อผ้านั้นแห้งสนิทและมีกลิ่นหอม


8. เก็บเสื้อผ้าให้ถูกวิธี

การเก็บเสื้อผ้าในที่ที่สะอาดและมีการระบายอากาศที่ดีจะช่วยรักษากลิ่นหอมของเสื้อผ้าไว้ได้นานขึ้น ควรหลีกเลี่ยงการเก็บเสื้อผ้าในที่อับชื้นหรือในตู้เสื้อผ้าที่ไม่มีการถ่ายเทอากาศ การใช้ถุงเก็บเสื้อผ้าหอมจะช่วยให้กลิ่นหอมติดทนนานยิ่งขึ้น


9. การดูแลเครื่องซักผ้า

ตัวเครื่องซักผ้า หรือถังซักก็มีความสำคัญส่งผลต่อความหอมทนนานของผ้าซักของเราเช่นกัน การทำความสะอาดเครื่องซักผ้าเป็นประจำ จะช่วยป้องกันการสะสมของคราบสกปรกและกลิ่นไม่พึงประสงค์ที่อาจติดอยู่ในเครื่องซักผ้า เพราะฉะนั้นการใช้น้ำยาทำความสะอาดเครื่องซักผ้าอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้เครื่องซักผ้าทำงานได้ดีและทำให้เสื้อผ้าหอมฟุ้งมากขึ้น


การซักผ้าให้หอมเหมือนแม่ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่เลือกใช้น้ำยาซักผ้าที่มีกลิ่นหอม ใช้น้ำยาปรับผ้านุ่ม ซักผ้าในน้ำอุ่น และตากผ้าในที่ที่มีลมและแดด นอกจากนี้การเก็บเสื้อผ้าให้ถูกวิธีและการดูแลเครื่องซักผ้าอย่างสม่ำเสมอจะช่วยรักษากลิ่นหอมไว้ได้นานขึ้น การปฏิบัติตามเคล็ดลับเหล่านี้จะช่วยให้เสื้อผ้าของเราหอมฟุ้งเหมือนแม่ทุกครั้งที่ซัก

Back to blog